นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่าวิสาหกิจชุมชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน หรือเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ซึ่งเป็นฐานของระบบเศรษฐกิจ และช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้กำหนดนโยบายแนวทางพัฒนาวิสาหกิจชุมชนให้สอดคล้องกับแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเกษตรชีวภาพ ซึ่งครอบคลุมการทำเกษตรที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรชีวภาพ ปลอดสารพิษ และเกษตรอินทรีย์ รวมถึงการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพในการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรด้วยกระบวนการทางชีวภาพ เพื่อนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น สัมพันธ์กับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทย่อยเกษตรชีวภาพ ในเป้าหมายวิสาหกิจเกษตรฐานชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีการจัดตั้งในทุกตำบล และสามารถนำทรัพยากรชีวภาพในชุมชนมาใช้เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร พัฒนาธุรกิจและการบริการจากความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชน โดยนำหลัก BCG Model มาใช้พัฒนาวิสาหกิจชุมชนอย่างยั่งยืน นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรชีวภาพชุมชนมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่า มีมาตรฐานและตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้กำหนดจัดโครงการสัมมนาพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานส่งเสริมการจัดตั้งและบริหารจัดการวิสาหกิจเกษตรฐานชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น ครั้งที่ 2 ขึ้น ระหว่างวันที่ 27 – 30 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานวิสาหกิจชุมชนระดับกรม เขต จังหวัด และอำเภอ เข้าร่วมการสัมมนาจำนวน 130 คน
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้จดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2548 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ปัจจุบันมีวิสาหกิจชุมชนจดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรแล้ว จำนวน 83,553 แห่ง สมาชิกจำนวน 1,466,678 ราย และเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จำนวน 607 เครือข่าย สมาชิก 15,422 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2566) ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริม พัฒนาและสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรจดทะเบียนเพื่อดำเนินกิจการในฐานะนิติบุคคล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจของประเทศต่อไป