นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดนโยบายสำคัญในการมุ่งพัฒนาภาคเกษตรใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) ความมั่นคงทางอาหาร (2) มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตร (3) ทรัพยากรการเกษตร มีความยั่งยืน และ (4) เป็นเกษตรมูลค่าสูง เพื่อให้เกษตรกรมีความพร้อมในการปรับตัว สามารถขับเคลื่อนงานเกษตรให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้กำหนดแผนพัฒนาการเกษตร 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ให้สอดรับกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งพัฒนาเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยดำเนินการ 1) ช่วยเหลือ ดูแล พัฒนาและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอาหารไว้บริโภค ลดรายจ่าย เกษตรกรเกิดความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้และมีรายได้เพิ่มขึ้น 2) ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตร มีประสิทธิภาพและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยการพัฒนาทักษะความสามารถเกษตรกรด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยึดหลักตลาดนำการผลิต เพื่อยกระดับการผลิตและการจัดการสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐานตามหลักสากลสู่การส่งออก 3) พัฒนาเกษตรกร องค์กรเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ได้แก่ การส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Young Smart Farmer และ Smart Farmer ที่มีขีดความสามารถด้านการเกษตร สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการและการตลาดสินค้าเกษตร เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชน และเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาคีต่าง ๆ เพื่อร่วมกันพัฒนายกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการชั้นนำ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่ม โดยการนำกระบวนการบริหารจัดการกลุ่มมาใช้ขับเคลื่อนการดำเนินการไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่าย การมีส่วนร่วมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมถึงการนำองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและผลิตภัณฑ์ พัฒนาช่องทางการตลาด ทำให้เกิดเครือข่ายทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม และสามารถบริหารจัดการกองทุนนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน โดยมุ่งเน้นการทำงานขับเคลื่อนภาคการเกษตร ภายใต้หลักการ “Keep Going, Keep Growing ก้าวต่อไป เติบโตอย่างต่อเนื่อง ปรับองค์กรเป็น Digital DOAE มุ่งขับเคลื่อน BCG สู่ความยั่งยืนของภาคเกษตร”
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร อย่างบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย คือ มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง ความร่วมมือด้านการสนับสนุนกิจกรรมและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่เกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรไทย สู่การเป็นเกษตรกรต้นแบบ (Smart Farmer Model) ผู้มีความรู้ ความสามารถ เข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเกษตรได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและจำเป็นไปยังเกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการคิดค้นนวัตกรรมการเกษตรใหม่ ๆ โดยในปี พ.ศ.2565 ได้จัดการประกวด“เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด” ครั้งที่ 14 ขึ้น ภายใต้แนวคิด “เกษตรนวัตกรรม เพื่อความสุขยั่งยืน” เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่มีศักยภาพในการเป็นต้นแบบ มีแนวคิดและการปฏิบัติด้านนวัตกรรมและการใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ มาพัฒนาต่อยอด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต รวมถึงการพึ่งพาตนเอง สู่การสร้างความมั่นคงและยั่งยืน แก่คุณภาพชีวิตของตนเอง สังคม และชุมชน และที่สำคัญที่สุด คือ เกษตรกรต้องมีจิตสำนึกรักบ้านเกิด เพื่อเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์สำนึกรักบ้านเกิด ความมุ่งมั่นในการตอบแทนคุณแผ่นดินเกิดของตนเอง ในการเป็นต้นแบบความสำเร็จ ยอมรับ และเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพเกษตรกรสู่สาธารณชนได้ โดยมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้เข้ามาให้การส่งเสริมการเรียนรู้โดยการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแก่เกษตรกร
กรมส่งเสริมการเกษตร ขอแสดงความยินดีต่อเกษตรกรทั้ง 10 ท่าน ได้แก่ 1) คุณธวัชชัย สุริยะธรรม จังหวัดเลย 2) คุณจักรภพ แสงแก้ว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) คุณประเสริฐ ไกนอก จังหวัดเพชรบูรณ์ 4) คุณนที โดดสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา 5) คุณจตุรงค์ จันมา จังหวัดยโสธร 6) คุณธนาสิทธิ์ สอนสุภา จังหวัดชุมพร 7) คุณชัยพิสิษฐ์ สอนศรี จังหวัดฉะเชิงเทรา 8) ดร. พิธาน ไพโรจน์ จังหวัดสุรินทร์ 9) คุณวาริส แก้วภักดี จังหวัดฉะเชิงเทรา และ 10) คุณอมลวรรณ ปริดตา จังหวัดลำพูน ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็น “เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด” ปีที่ 14 ซึ่งทุกท่านเป็นเกษตรกร Young Smart Farmer ของกรมส่งเสริมการเกษตร ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างสรรค์ มีประโยชน์ สามารถเป็นแบบอย่างให้กับผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พัฒนาต่อยอด และยังเป็นแรงขับเคลื่อนความการเปลี่ยนแปลงของภาการเกษตรในอนาคตต่อไป อีกทั้งยังมีความสำคัญยิ่งในการเป็นต้นแบบ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ยึดแนวทางวิถีเกษตรอินทรีย์ และการทำการเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน